ภาพถ่าย

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

โทษของน้ำอัดลม...ที่มีผลต่อร่างกาย


1. ถ้าดื่มน้ำอัดลมมากและรับประทานอาหารอื่นน้อย จะทำให้ขาดสมดุลทางโภชนาการ ที่สำคัญคือในเด็กถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลมไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการ อาจขาดสารอาหารได้

2. ถ้าดื่มน้ำอัดลมในเวลาที่ใกล้จะถึงหรือในระหว่างรับประทานอาหารมื้อหลัก ทำให้อิ่มและทานอาหารได้น้อยลง

3. น้ำอัดลมทำให้ฟันผุ เนื่องจากน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมากและมีสภาวะเป็นกรดด้วย ได้แก่ กรดคาร์บอนิก จะไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้

4. น้ำอัดลมทำให้ท้องอืด เพราะเกิดก็าซในกระเพาะอาหารและสภาวะที่เป็นกรดของน้ำอัดลมก็ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารด้วย

5. น้ำอัดลมดื่มได้พลังงานอย่างเดียว แต่เป็นพลังงานที่ว่างเปล่าหรือEmptycalories โดยไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก

6. คาเฟอีนในน้ำอัดลมส่งผลต่อร่างกาย เช่น ในวัยเด็กที่ดื่มน้ำอัดลมที่ผสมคาเฟอีนจะมีรูปแบบการนอนที่ผิดแผกไปจากเดิม เด็กเหล่านี้จะนอนไม่หลับในเวลากลางคืนและง่วงนอนในตอนกลางวันทำให้เด็กมีผลการเรียนที่ต่ำลงกว่าเดิมด้วย คาเฟอีนที่มีในน้ำอัดลมบางชนิดจะไปกระตุ้นสมอง อาจทำให้ผู้ดื่ม (ที่ค่อนข้างไวต่อคาเฟอีน) เกิดใจสั่นและปวดศีรษะได้

7. การดื่มน้ำอัดลมบ่อย ๆ ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อร่างกายเท่าไรนัก ถ้าดื่มทุกวันหรือทุกมื้ออาหารจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากโดยไม่จำเป็น

ที่มา http://www.learners.in.th/blogs/posts/236438

รู้อะไรเกี่ยวกับไข่บ้างหรือยัง??

- ทำไมไข่ทุกฟองไม่ฟักเป็นตัว
       ไข่ที่ถูกปล่อยออกมาตามท่อรังในขบวนการผลิตของไข่อย่าง สม่ำเสมอในแต่และฟอง สำหรับตัวแม่ไก่ก็พร้อมจะวางไข่ ใน กระบวนการนี้จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สนใจว่าไข่แต่ละฟองจะได้มีการปฏิสนธิหรือไม่ก็ตาม นั่นก็คือสาเหตุที่ไข่ไก่ทุกฟองไม่ฟักออกมาเป็นตัว

- อะไรมีประโยชน์กว่ากันระหว่างไข่ดิบกับไข่สุก
       ในขบวนการผลิตของไข่อาจทำให้สิ่ง สกปรกซึมผ่านตามรูพรุนของไข่ หรือไม่ไข่อาจได้รับเชื้อบางอย่างจากตัวแม่ ทำให้ไข่ดิบอาจจะมีเชื้อโรคปะปนอยู่ และไข่ขาวดิบยังย่อยยากอีกด้วย หากเรากินไข่ขาวดิบๆ เข้าไป มันจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ไปง่ายๆ โดยไม่ได้รับการย่อย ร่างกายก็ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ นี้ได้ หากคิดจะกินไข่ลวกควรลวกให้ไข่ขาวสุกเสียก่อน

- เก็บไข่อย่างไรให้ได้นาน

ลักษณะของเปลือกจะ เป็นรูพรุนตลอดทั้งฟอง รูที่เปลือกมีขนาดเล็กมาก โดยที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวของไข่ที่เราเห็นอยู่นั้นจึงดูเรียบเนียน เมื่อเปลือกมีรูพรุนทำให้ไข่สามารถดูดซึมกลิ่นต่างๆ เข้าไปได้ง่าย จึงไม่ควรเก็บไข่ไว้กับอาหารพวกที่มีกลิ่นฉุน เช่น กะปิ น้ำปลา ควรเก็บไข่ไว้ในตู้เย็นจะเหมาะกว่าเก็บไว้ในที่อุณหภูมิปกติ และควรเรียงไข่ลงในภาชนะแล้ววางไว้บนชั้นวางธรรมดาของตู้เย็นจะดีกว่าใส่ใน ช่องวางไข่ที่ผนังประตู เพราะบริเวณนี้จะมีอุณหภูมิที่สูงทำให้ไข่เสียเร็วขึ้น

- วางไข่ลงในลักษณะไหนถึงจะดี

         ควรวางด้านแหลมของไข่ลงและให้ด้านป้านอยู่บน ไข่แดงจะมีน้ำหนักเบากว่าไข่ขาว แม้จะพยายามลอยตัวขึ้นด้านบน แต่ก็จะปะทะกับโพรงอากาศที่อยู่ทางด้านป้านแทนการปะทะกับเปลือกไข่โดยตรง ไข่แดงจึงอยู่ตรงจุดกลางใบ หากเราเปลี่ยนเอาทางด้านป้านลงไข่แดงจะลอยขึ้นไปติดที่ เปลือกไข่ทำให้ไข่แดงแตกง่ายเวลาตอก ดังนั้นการเก็บไข่ที่ถูกต้องจึงควรนำด้านแหลมลงทุกครั้ง

- ประโยชน์ของไข่ไม่ใช่แค่เป็นอาหาร

ไข่แดง สามารถนำมาทำสบู่ สี แชมพู ตกแต่งหนังสัตว์ บำรุงผิว

ไข่ขาว นำมาทำเป็นส่วนประกอบของยางบางชนิด ทำสีทาสิ่งของ ทำกาว ทำหมึกพิมพ์ ช่วยย้อมหนัง แล้วยังกำจัดสิวเสี้ยนได้อีกด้วย

เปลือกไข่ นำมาทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย และนำไปทำสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ได้อีกหลายอย่าง

Pitchaya's Food

ที่มา http://hot.ohozaa.com/002831-รู้อะไรเกี่ยวกับไข่แล้วหรือยัง.html

ชาร้อน ยับยั้งอัลไซเมอร์

ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้ว  เพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียวหรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์
       นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมองอันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย 1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผล
ได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า
       ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่อง
การดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูก
ผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ"

ที่มา  http://writer.dek-d.com/nuprimza/story/viewlongc.php?id=272173&chapter=4

ไมโครเวฟ..ทำให้เป็นอัลไซเมอร์

เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นไม่โครเวฟ อาจส่งผลให้เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
       ทุกวันนี้เราอยู่กับไมโครเวฟ โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต ฯลฯ จึงมีข้อสงสัยว่าอุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้มีผลกับอวัยวะและระบบประสาท หรือไม่
       ดังนั้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Mainz ในประเทศเยอรมนีจึงได้ทำการศึกษาวิจัยเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีผลกับโรค อัลไซเมอร์และโรค ALS ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ทั้งนี้ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยซูริกชี้ให้เห็นว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูงที่ ผ่านความร้อนมีผลเสียกับการทำงานของสมอง พวกเขาทดลองกับอาสาสมัครโดยให้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ความถี่ 900 เมกกะเฮิร์ต (ซึ่งเท่ากับความถี่ของเทเลคอมจากโทรศัพท์มือถือ) ก่อนที่พวกเขาจะไปนอน พบว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีผลกับสมองของอาสาสมัครระหว่างการนอนหลับ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีอาชีพต้องอยู่กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นเวลานาน เช่น ช่างเชื่อมเหล็ก มีความเสี่ยงสูงกับโรคอัลไซเมอร์และ ALS หรือผู้ที่รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงต่ำเป็นเวลานาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านก็มีความเสี่ยงกับโรคอัลไซเมอร์และ ALS เช่นกัน

ที่มา  http://www.2poto.com/201101052038/2011-01-05-05-57-47-2038.html

รีไซเคิล


ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=BenP5WHxLRw

ทำไมถึงเรียกปูอัด ทั้งที่ทำมาจากปลา

ทราบกันหรือเปล่าครับว่า ปูอัดทำมาจากปลา บางคนทราบ บางคนไม่ทราบ คำถามคือ แล้วทำไมจึงเรียกปูอัดละ วันนี้มีคำตอบครับ
       ปูอัดนั้น ภาษาทางการเรียกว่า เนื้อปูเทียม การผลิตเนื้อปูเทียม เกิดจากความคิดที่ว่า ปลาที่จับได้ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ถือว่าไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเพราะผู้บริโภคไม่นิยมราคาจึงถูกมาก ประมาณร้อยละ ๙๐ ของปลาขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า ปลาเป็ด จะถูกนำไปทำเป็นปลาป่นสำหรับใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารสัตว์ นับได้ว่าเป็นการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และแล้วบริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นก็คิดค้นนำปลาดังว่านี้มาทำเป็นเนื้อปูเทียมขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๑๘

       ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีศักยภาพในการทำประมง และมีบริษัทผลิตเนื้อปูเทียมมานานหลายปีแล้ว ปลาที่ใช้ได้แก่ ปลาทรายแดง ปลาทรายขาว ปลาตาโต ปลาดาบ ปลากะพง ฯลฯ วิธีทำเริ่มต้นจากการนำปลามาตัดหัว ควักไส้ทิ้ง ส่งเข้าเครื่องบีบเอาแต่เนื้อปลา นำปลาบดที่ได้มาผสมเครื่องปรุงจำพวกแป้ง น้ำตาล เกลือ ผงชูรส และกลิ่นปู เสร็จแล้วนำไปทำให้สุกและทำให้เนื้อปลามีลักษณะเป็นเส้นเหมือนเนื้อปูจริง ๆ จากนั้นจึงอัดเป็นแท่งยาว ๆ แล้วตกแต่งสีให้ดูเหมือนเนื้อปูจริง ๆ บางบริษัทถึงกับอัดเนื้อปูเทียมเป็นรูปก้ามปู (ที่แกะเปลือกแล้ว) ดูน่ากิน
       อย่างไรก็ตาม มีผู้บริโภคจำนวนมากคิดว่าปูอัดเป็นเนื้อปูจริง ๆ พอรู้ในภายหลังว่าทำมาจากเนื้อปลา ถึงกับเลิกกินไปเลยก็มี
ที่มา หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี

ที่มา   http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06184.php

เตือนภัย กาแฟลดความอ้วน


ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=X7z52ZTDMLo&feature=related

เงาะโรงเรียน ทำไมเงาะอาชีวะหรือเงาะมหาวิทยาลัย

ก็เพราะเงาะพันธ์นี้ไม่ได้ปลูกในวิทยาลัยอาชีวะหรือในมหาวิทยาลัยนะสิ
       เงาะโรงเรียนหรือเงาะพันธุ์โรงเรียน เป็นเงาะพันธุ์ที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน เงาะในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ตลอดทั้งเกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก ก็ไม่มีประเทศใดที่มีเงาะคุณภาพดีเท่ากับเงาะพันธุ์โรงเรียน แม้แต่ในมาเลเซียซึ่งเราได้เมล็ดเงาะพันธุ์นี้มา จึงกล่าวได้ว่าเงาะพันธุ์โรงเรียนเป็นเงาะพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้

       คำว่า "โรงเรียน" หมายถึง โรงเรียนนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานีเงาะต้นแม่พันธุ์มีเพียงต้นเดียว ปลูกด้วยเมล็ดเมื่อปี พ.ศ.2469 โดยชาวจีนผู้หนึ่งมีสัญชาติมาเลเซีย ชื่อ Mr. K. Wong มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองปีนัง บุคคลผู้นี้ได้เข้ามาทำเหมืองแร่ดีบุกที่หมู่บ้านเหมืองแกะ ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร ตรงกันข้ามกับโรงเรียนนาสาร เมื่อ Mr. K. Wong มาทำเหมืองแร่ก็ซื้อที่ดินริมทางรถไฟด้านทิศตะวันตก ใกล้กับสถานีรถไฟนาสารเป็นเนื้อที่ 18 ไร่ แล้วสร้างบ้านพักบนที่ดินดังกล่าว เมื่อสร้างบ้านเสร็จ Mr. K. Wong ก็นำพันธุ์(เมล็ด)เงาะมาจากเมืองปีนัง(ขณะนี้เงาะพันธุ์นี้ที่เมืองปีนึงไม่มีแล้ว) มาปลูกข้างบ้านพักจำนวน 4 ต้น ต่อมาปรากฏว่าเงาะมีลูกเป็นสีเหลืองบ้าง แดงบ้าง รสเปรี้ยวบ้าง หวานบ้าง เฉพาะต้นที่ 2 นับจากทิศตะวันออกมีลักษณะพิเศษกว่าต้นอื่น คือ เนื้อสุกแล้วเปลือกผลเป็นสีแดง แต่แม้สุกจัดเท่าไหร่ก็ตาม ขนที่ผลยังมีสีเขียวอยู่ รูปผลค่อนข้างกลม เนื้อกรอบ หวาน หอม เปลือกบาง เงาะต้นนี้คือ "เงาะพันธุ์โรงเรียน"

     สาเหตุที่เรียกว่าเงาะพันธุ์โรงเรียน เพราะในปี พ.ศ.2479 Mr. K. Wong ต้องเลิกล้มกิจการเหมืองแร่และเดินทางกลับไปอยู่ที่เมืองปีนังภูมิลำเนาเดิม จึงขายที่ดินดังกล่าวพร้อมด้วยบ้านพักให้แก่กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) แผนกธรรมการ อำเภอบ้านนา (อำเภอบ้านนาสาร) ทางราชการจึงปรับปรุงบ้านพักใช้เป็นอาคารเรียน และย้ายโรงเรียนนาสารซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่ที่วัดนาสารมาอยู่อาคารดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 พฤศจิการยน พ.ศ.2479 แต่เงาะพันธุ์โรงเรียนในขณะนั้นยังมิได้แพร่หลายแต่ประการใด เนื่องจากการส่งเสริมทางการเกษตรยังไม่ดีพอ ในปี พ.ศ.2489-2498 มีบุคคลตอนกิ่งไปขายพันธุ์เพียง 3-4 รายเท่านั้น
       ครั้นถึงปี พ.ศ.2500-2501 ได้มีกรรมวิธีแพร่พันธุ์เกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือการทาบกิ่ง มีการทาบกิ่งเงาะต้นนี้ไปเป็นจำนวนมาก ในระยะเดียวกันนั้น เงาะที่มาจากจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส คือเงาะพันธุ์ยาวี เจ๊ะโมง เปเราะ ก็เข้ามาแพร่หลายพอสมควร ประชาชนเห็นว่าเงาะต้นนี้ยังไม่มีชื่อ จึงชักชวนกันเรียกเงาะต้นนี้ว่า "เงาะพันธุ์โรงเรียน" เพราะต้นแม่พันธุ์อยู่ที่โรงเรียนนาสาร
ปี พ.ศ.2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯมาที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้นำชาวสวนเงาะผู้หนึ่งได้ทูลเกล้าฯถวายเงาะพันธุ์โรงเรียน และขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานชื่อพันธุ์เงาะนี้เสียใหม่ พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า "ชื่อเงาะพันธุ์โรงเรียนดีอยู่แล้ว" นับแต่นั้นมา ไม่มีใครกล้าที่จะเปลี่ยนชื่อเงาะพันธุ์นี้อีกต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : 108 ซองคำถาม

ที่มา http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_06190.php